คำอวยพรปีใหม่ภาษาอังกฤษ
May this year bring inspiration and happiness to you and your family.
Looks like a bright new year ahead!
Wishing you peace and joy in the New Year
The beginning is always today! Happy New Year.
A new year is a reminder to celebrate all the things that are good in your world. [...]
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Enlish|คำอวยพร|Valentine
คำอวยพรหวาน ๆ ในวันวาเลนไทน์ (valentine days)
เอาไว้ อย่าลืมเอาไปส่งให้คนที่คุณรักกันนะครับ
_________________________________________
A new day comes every 24hours,
a new month comes every 30 days ,
a new year comes every 12 mounths
but Valentien just come once in a year .
Happy Valentine’s day
_______________________________________
today is valentine day
let there be tons of love flowing around you ,
and let the right one went straight to your heart .
Happy Valentine’s day.
Have a good love , good life and great day.
__________________________________________
Sweet wishes to a wonderful girl
who spreads happiness wherever she goes
Happy Valentine’s Day
คำอวยพรแสนหวาน แด่หญิงสาวแสนพิเศษ
ผู้แบ่งปันความสุขเสมอ ในทุกแห่งหนที่เธอไป
สุขสันต์วันแห่งความรัก
________________________________________
You are the candle love is the flame
A fire that burns through wind and rain
Shine your light on the heart of mine
And now my life has just begun
You mean so much too
________________________________________
“When you’re in love..
life is like a romance novel
that you never want to end.”
“เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งรัก ..
ชีวิตก็เหมือนดั่งนิยายที่คุณอ่านไม่จบ”
_________________________________________
“When you love someone..
you’ll do anything to reach the heartof the one you love.”
“เมื่อคุณรักใครสักคน…คุณจะทำทุกอย่างเพื่อชนะใจเขา”
_________________________________________
“When you feel true love…
you follow the way of the heart.”
“เมื่อมีรักแท้…คุณก็พร้อมที่จะไปตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ”
_________________________________________
Valentine’s Day is a day Meant for sharing.
A day for giving,For loving and caring.
Wishing YouThe nicest thingsThat
Wishing YouThe nicest thingsThat
life can bring your way,
And that’s not just A Valentine WishIt’s meant for every day!
__________________________________________
Have a wonderful Valentine’s Day!
ขอให้ทุกท่านสมหวังกับความรัก ในวัน วาเลนไทน์ ปีนี้ครับ
Have a wonderful Valentine’s Day!
ขอให้ทุกท่านสมหวังกับความรัก ในวัน วาเลนไทน์ ปีนี้ครับ
How to be rich|วิธีบริหารเวลา|ทฤษฎีวัตถุในถังขงเบ้ง
วิธีการบริหารเวลา
เทคนิคการบริหารเวลาของขงเบ้ง
ขงเบ้งกล่าวไว้ว่า
“ทุกวัน ทุกคนบนโลกนี้มีเวลาเท่าเทียมกันคือ 24 ชม.”
อย่างไรก็ดี มองจากมุมของเศรษฐศาสตร์
เวลาของทุกคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน
การบริหารเวลาของแต่ละคน
จึงมีหมายถึงความแตกต่าง
ระหว่างความสำเร็จ กับความพ่ายแพ้
ค่าของเวลาเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพ
ซึ่งในแง่ธุรกิจคือต้นทุน
ฉะนั้นสถาบันศึกษาทุกแห่งที่สอนวิชาการบริหารธุรกิจ
จึงมีหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารเวลา
ครั้งหนึ่ง เล่าปี่ ขอขงเบ้งให้แนะนำ
วิธีสร้างตนเป็นอภิมหาเศรษฐีแห่งดินแดน
ขงเบ้งว่างานใหญ่เช่นนี้ต้องวางแผน
และรู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
เล่าปี่ กล่าวว่า
“ข้าเห็นด้วยในหลักการ
“ข้าเห็นด้วยในหลักการ
แต่ทว่าข้ามีงานมากมายที่ต้องทำทุกวันจนเวียนเกล้าเวียนศีรษะ
ไม่เคยมีเวลาพอที่จะจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย”
ขงเบ้ง บอกให้ลูกน้องไปเตรียมก้อนหิน
ก้อนกรวด ก้อนทราย และน้ำจำนวนหนึ่ง
พร้อมถังเหล็กใหญ่หนึ่งใบ
เล่าปี่ถามด้วยความแปลกใจ
“ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร”
“ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร”
ขงเบ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกับตอบด้วยคำถามว่า
“ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด?”
“ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด?”
เล่า ปี่ตอบว่า
“ข้าเคยคิดว่า ข้ามีเทคนิคที่ดีอยู่แล้ว คือ
“ข้าเคยคิดว่า ข้ามีเทคนิคที่ดีอยู่แล้ว คือ
ใช้วิธีมอบหมาย ข้ามีผู้ช่วยอยู่รอบด้าน
ตั้งแต่กวนอู เตียวหุย เจ้าหยุน ฯลฯ
ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ด้านต่างๆ
แต่งานทั้งหลายก็ยังพันกันอีรุงตุงนัง
ไม่สามารถปรับให้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้นได้
เดิมข้าฯคิดว่าคือแมลงวันไม่มีหัวอยู่ตัวเดียว
แต่หลังการใช้ระบบมอบหมายงาน
กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันบริษัทมีแมลงวันหัวขาดเป็นฝูง!! ”
ขงเบ้งฟังแล้วจึงเริ่มอธิบายว่า
เทคนิคการบริหารเวลาสามารถแบ่งเป็นสามขั้น สูง กลาง และต่ำ
ขั้นต่ำ เน้นการใช้เศษกระดาษบันทึก
ขั้นกลาง ใช้ตารางและโปรแกรมประจำวัน
ซึ่งสะท้อนความสำคัญของการวางแผน
ส่วนขั้นสูง เน้นการจัดการโดยแบ่งแยกประเภท
ของหน้าที่การงานตามดีกรี
ควรเน้นการใช้แผนดำเนินงานตามสำคัญของงาน
เพื่อพิจารณาลำดับความเร่งด่วนในการจัดการงานดังกล่าว
ทั้งสามขั้นอันดับ ต่างมีเรื่องการมอบหมายงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
ตามความต้องการของปริมาณและลักษณะเฉพาะของงานแต่ละชิ้น
เล่าปี่สารภาพว่า
“หากพิจารณาตามการแบ่งขั้นของเทคนิคการบริหารเวลาแล้ว
ข้ายอมรับว่าวิธีของข้าอยู่ที่ขั้นต่ำ เพราะใช้แค่การส่งใบ slip บันทึก”
ขงเบ้ง ชี้ไปที่ถังเหล็กกับกองวัสดุ
ที่ผู้ช่วยได้เตรียมเสร็จ ไว้มุมห้องพร้อมกล่าวว่า
“คำตอบของการบริหารขั้นสูง
“คำตอบของการบริหารขั้นสูง
อยู่ในถังเหล็กใบใหญ่นี้แหละ!
ความจุของถังนี้ เปรียบเสมือน
ขีดความสามารถของคนๆ หนึ่ง
ในช่วงเวลาหนึ่ง
ก้อนกรวด เปรียบได้กับงาน
ที่สำคัญและเร่งด่วน
ก้อนหินคือ ภาระที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
เม็ดทราย เปรียบได้กับ
ภาระที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ
และน้ำ คือหน้าที่
ที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน”
ขงเบ้งอธิบายพรางวาดผังประกอบคำอธิบาย ดังในตารางประกอบ

“ปกติท่านเน้นงานประเภทใด?”
ขงเบ้งถาม
“ก็ต้องเป็นประเภท ก.” เล่าปี่ตอบอย่างไม่ลังเล
“แล้วงานประเภท ข. ล่ะ?” ขงเบ้งถามต่อไป
เล่าปี่ตอบว่า
“ข้าตระหนักถึงความสำคัญของงานประเภท ข.
แต่ก็ไม่มีเวลาพอที่สนใจมันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม
“ขงเบ้งถาม พรางใส่กรวดลงไปในถังเหล็กจนเต็ม
แล้วพยายามใส่ก้อนหินเข้าไป ซึ่งใส่ไม่ได้
เล่าปี่ตอบว่า ”
ใช่ !”
“และหากเปลี่ยนวิธีบรรจุใหม่ล่ะ?”
ขงเบ้งถามต่อพลางใส่ก้อนหินทีละก้อนเข้าไปในถังก่อน
จนใส่ไม่ได้แล้วจึงถามเล่าปี่อีกว่า
“ตอนนี้ถังเหล็กเต็มแล้วจะใส่อะไรลงไปอีกไม่ได้ใช่ไหม?”
ซึ่งเล่าปี่ตอบว่า
“ใช่”
“จริงหรือ?”
ขงเบ้งถามแล้วหยิบก้อนกรวดใส่เข้าไปข้างบนถัง
แล้วเขย่าให้ก้อนกรวดตกลงไปในถังจนหมด
“บัดนี้ถังเหล็กใบนี้ใส่อะไรลงไปอีกได้หรือไม่?”
ขงเบ้งพูดพรางเทเม็ดทรายลงไปอีกจนหมด
“แล้วทีนี้ละ? ใส่อะไรลงไปอีกได้ไหม?” ขงเบ้งถามต่อไป
แต่ก่อนที่เล่าปี่มีโอกาสตอบ
ขงเบ้งก็ตักน้ำที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในถังเหล็กอีกจนหมด
“ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของการทดลองนี้แล้วหรือยัง?”
เล่าปี่ตอบว่า
“เข้าใจแล้ว”
พร้อมกับถามต่อว่า
“นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่เกี่ยวกับการจัดการแบบแยกประเภท
และเลือกการจัดการก่อนหลังใช่ไหม?”
ขงเบ้งตอบว่า
“ใช่แล้ว
การทดลองชี้ให้เห็นว่า
หากถังเหล็กตั้งแต่แรกก็เติมเต็มไปด้วยก้อนกรวด ทราย และน้ำ
ก็คงไม่มีโอกาสใส่ก้อนหินลงไปได้
แต่ถ้าใส่ก้อนหินลงไปก่อน
ในถังยังมีเนื้อที่ที่จะใส่สิ่งอื่นๆ เข้าไปได้อีก
ดังนั้น การบริหารเวลาที่ได้ผลต้องดูว่า
อะไรคือก้อนหิน
อะไรคือก้อนกรวด เม็ดทราย และน้ำฯลฯ
และไม่ว่าจะเป็นประการใดก็ต้องใส่ก้อนหินลงไปในถังเป็นอันดับแรก”
ขงเบ้งสอนต่อไปว่า
“คนที่อิงเรื่องประเภทก้อนหินเป็นคนมีประสิทธิภาพ
เพราะเขาจะเก่งในการ วิเคราะห์สถานการณ์ เวลา และสิ่งแวดล้อม
สามารถจับประเด็นหลักของปัญหา สามารถจัดการกับเรื่องเร่งด่วน
และควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกินกว่าเหตุ
กล้าฟันธงและใช้มาตรการป้องปราม
บุคคลจำพวกนี้จะมีวิสัยทัศน์ มีอุดมการณ์ เคารพระเบียบ
สามารถควบคุมตัวเอง ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย
และสามารถทำงานชิ้นใหญ่ได้”
เล่าปี่ชื่นชอบ
ทฤษฎี “วัตถุในถัง”
ของขงเบ้งเป็นอย่างมาก
พร้อมกับสารภาพว่า
“มาวันนี้ข้าฯถึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า
การต่อสู้ของข้าฯทำไมจึงยังลุ่มๆ ดอนๆ
เพราะแม้ว่าข้ามีขุนพลเก่งๆ
เช่น กวนอูและเตียวหุย
แต่พวกเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไร
ตราบใดที่คนที่มีประสิทธิภาพสูง
อย่างพวกเขาจมปลักอยู่กับ
เรื่องจิ๊บจ๊อยกับทำงานลักษณะ
"เก็บเม็ดงาแต่ทิ้งแตงโม"
(เจี่ยนเลอจือหมาติวเลอซีกวา)
ขืนดำเนินตามวิธีนี้ต่อไป
ความพยายามของข้าฯ
ที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐี
นัมเบอร์วันในแผ่นดิน
ก็คงเป็นได้แค่ ความฝัน !”
แล้วคุณละ..จัดการกับตัวเองและงานที่ทำแบบไหน?
การเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ
การเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ
อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
จดหมายติดต่อระหว่างบุคคล หรือจดหมายส่วนตัว
อาจเป็นจดหมายถามทุกข์สุข
แสดงความยินดี แสดงความเสียใจ จดหมายเชิญ
จดหมายอีกประเภทหนึ่งเป็นจดหมายธุรกิจ
ซึ่งใช้ติดต่อระหว่างบุคคลกับสำนักงานธุรกิจ
หรือระหว่างสำนักงานธุรกิจด้วยกัน
สำหรับในเอกสารนี้
จะให้รายละเอียดเฉพาะจดหมายส่วนตัวเท่านั้น
ซึ่งเป็นจดหมายที่นักเรียนคุ้นเคย
และอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
เริ่มกันที่ส่วนประกอบของ การเขียนจดหมายในภาษาอังกฤษ
1. Heading
(หัวจดหมายภาษาอังกฤษ)
หัวจดหมายคือที่อยู่ของผู้เขียนจดหมาย
และวันที่ที่เขียนจดหมาย
ซึ่งนิยมเขียนไว้บนมุมด้านขวาหรือซ้ายของจดหมายก็ได้
2. Inside Address
(ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษ)
ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษ
ซึ่งเขียนหรือพิมพ์ไว้ทางด้านซ้ายบน
ถัดจากหัวจดหมายลงมา
จะปรากฏเฉพาะในจดหมายธุรกิจเท่านั้น
สำหรับรูปแบบการเขียนเหมือนกับหัวจดหมาย
3. Solution
(คำขึ้นต้นจดหมายภาษาอังกฤษ)
คำขึ้นต้นจดหมายในภาษาอังกฤษ
เปรียบเสมือนคำทักทายเพื่อเริ่มต้นจดหมาย
ต้องเขียนหรือพิมพ์ไว้ริมซ้าย
ของกระดาษด้านบนต่อจากหัวจดหมาย
สำหรับจดหมายติดต่อระหว่างบุคคล
และต่อจากชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมาย
สำหรับจดหมายธุรกิจ
คำขึ้นต้นจดหมายอาจเขียนได้หลายแบบ
ขึ้นอยู่กับบุคคลที่เราเขียนถึง
ว่ามีความสัมพันธ์กับผู้เขียนอย่างไร
3.1 คำขึ้นต้นสำหรับญาติผู้ใหญ่
My dear…………………….. , เช่น
My dear grandmother, (ย่า, ยาย)
My dear father, (พ่อ)
My dear uncle, (ลุง)
My dear mother, (แม่)
3.2 คำขึ้นต้นสำหรับญาติที่อายุอ่อนกว่า
Dear………… ,
My dear……………..,
My dearest……………,เช่น
My dearest son, (ลูก)
My dear Jim, (ระบุชื่อญาติ)
3.3 คำขึ้นต้นสำหรับญาติ,
เพื่อน, ผู้รู้จัก ซึ่งมีวัยใกล้เคียงกัน
Dear………… ,
My dear……………..,
นิยมระบุชื่อ เช่น
Dear Surapong,
Dear friend, (เพื่อน)
3.4 คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป
ที่ทราบชื่อแต่ไม่รู้จักกันอย่างสนิท
ถ้าเป็นชาวต่าง ประเทศจะระบุคำนำหน้าชื่อพร้อมนามสกุล
แต่ถ้าเป็นคนไทยอาจระบุชื่อแทนนามสกุลได้
เช่น Dear…………?
Dear Dr.Young, (Dr. J.N. Young)
Dear Mrs.Supranee,
Dear Mr.Ferrari (Mr. D.F. Ferrari)
3.5 คำขึ้นต้นสำหรับผู้ใหญ่ที่รู้จัก นับถือ
Dear…………,
Dear Sir, (ผู้ชาย)
Dear Madam, (ผู้หญิง)
Dear teacher, (ครู)
Dear Mistress, (นายผู้หญิง)
3.6 คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่พิเศษ
Your Excellency, (ทูต, รัฐมนตรี)
Dear lady, Your Excellency, (ภริยาทูต, รัฐมนตรี)
Dear Mr. President, (ประธานาธิบดี)
Your Majesty,May it please your Majesty,Sir,
Dear Mr. Speaker, (ประธานสภาผู้แทนราษฎร)
3.7 คำขึ้นต้นจดหมายธุรกิจ
Dear Sir , Sir , Gentleman , Dear………., (ถ้ารู้จักชื่อ)
4. Body of letter
(ตัวจดหมายภาษาอังกฤษ)
ตัวจดหมาย คือ ข้อความของจดหมาย
ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของจดหมาย
เพราะเป็นการสื่อความประสงค์ระหว่าง
โดยข้อความในจดหมายปกติแล้วจะแบ่งเป็น 3 ตอน
4.1 ความนำ แสดงการแนะนำตัวหรือบอกสาเหตุ
4.2 เนื้อความ บอกวัตถุประสงค์
4.3 สรุป เขียนสรุปเรื่องหรือความมุ่งหวังในอนาคต
5. Complimentary Close
(คำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ)
เมื่อเขียนจดหมายจบแล้ว ต้องมีคำลงท้าย
ซึ่งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับผู้รับ
สำหรับที่นิยมกันโดยทั่วไปได้แก่
Yours sincerely,
Sincerely yours, Sincerely, = ด้วยความจริงใจ
With love,With much love,Love, = ด้วยความรัก
รวมคำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ
คำลงท้ายที่แสดงความเคารพคือ Yours Respectfully
คำลงท้ายจดหมายแบบเป็นทางการ
(ใช้สำหรับการติดต่อทางธุรกิจหรือส่งให้ผู้หลักผู้ใหญ่)
1. Yours Sincerely ความหมายน่าจะประมาณว่า ด้วยความจริงใจ
2. Yours Faithfully ความหมายน่าจะประมาณว่า ด้วยความศรัทธา
3. Regards ด้วยความเคารพ4. Best regards ด้วยความเคารพอย่างสูง
5. Sincerely ด้วยความจริงใจอีกเหมือนกัน
ตัวอย่างสำหรับการลงท้ายจดหมายแบบไม่ค่อยเป็นทางการ
(ใส่สำหรับการส่งให้เพื่อนสนิท)
1. With love ด้วยรัก
2. Lots of love รักมากนะ
3. Lots of kisses จุ๊ฟๆ
4. Take care เป็นห่วงนะ
5. Keep in touch แล้วเจอกันนะ
6. Keep contact ติดต่อมานะ
7. love รักนะ
8. See ya ไว้เจอกัน โย่ว
9. Write back soon เขียนกลับมาด้วย
10. Your friend เพื่อนคุณนะ อย่าลืมเพื่อนคนนี้ละ
11. Thank you ขอบใจนะ
12. Always ไปไกลๆ อ่าวไม่ใช่ คิดถึงเสมอ
ความหมายไม่ confirm นะครับ แต่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
สามารถนำไปใช้ได้จริง
6. Signature
(การลงนามจดหมายภาษาอังกฤษ)
การลงนามของผู้เขียนจดหมาย
แสดงให้รู้ว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมายนั้น
ถ้าเป็นจดหมายส่วนตัว
อาจเขียนชื่อหรือทั้งชื่อและนามสกุล
ในลักษณะหวัด หรือหวัดแกมบรรจง
หรืออาจเป็นลายเซ็น (สำหรับบุคคลที่คุ้นเคยมาก ๆ)
แต่สำหรับจดหมายธุรกิจนั้น
ถัดจากคำลงท้ายจะเป็นลายเซ็น
ถัดลงมาจะเป็นชื่อนามสกุลตัวบรรจง
ถัดจากชื่ออาจเป็นตำแหน่ง
7. Outside address
(การจ่าหน้าซองจดหมายภาษาอังกฤษ)
การจ่าหน้าซองจดหมายคือ
การเขียนที่อยู่ของผู้รับ (outside address)
ซึ่งอาจเขียนได้ 2 แบบ คือ
แบบขั้นบันได (Step) ซึ่งย่อเข้ามาทีละบรรทัด
กับแบบบล็อก (Block)
Computer|How to|วิธีทำให้คนเข้าเว็บเรามี www อยู่ข้างหน้าตลอด
เทคนิคการใช้งานWindow XP
วิธีทำให้คนเข้าเว็บเรามี www อยู่ข้างหน้าตลอด
วิธีบังคับให้คนเข้าเว็บเรา
ด้วย url www.yourdomain.com
วิธีทำให้คนเข้าเว็บเรามี www อยู่ข้างหน้าตลอด
วิธีบังคับให้คนเข้าเว็บเรา
ด้วย url www.yourdomain.com
บางครั้ง search engine อาจจะคิดว่า www เช่น http://www.mescript.com และ url ที่ไม่มี www เช่น http://mescript.com เป็น 2 duplicate websites และอาจส่งผลต่ออันดับ seach engine result position (SERP)! จะเป็นการดีกว่าถ้าให้คนที่เข้าเว็บเรา (รวมถึง google bot) เข้าชมเว็บเราได้แค่ 1 version เท่านั้น
เราสามารถทำการ redirect url ที่ไม่มี www ให้ไปยัง url ทีมี www อยู่ข้างหน้าตลอดเวลาที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา ตัวอย่างเช่นเข้าเว็บไซต์โดยพิมพ์ url mescript.com/about/ ตรง address bar ก็จะเสมือนกับการเข้าชมด้วย www.meScript.com/about/
วิธีการคือการสร้างไฟล์ .htaccess ขึ้นมาที่ root path ของเรา จากนั้นพิมพ์คำสั่งดังนี้
RewriteEngine On
RewriteEngine On
RewriteCond %{HTTP_HOST} ^yourdomain\.com$ [NC]
RewriteRule ^(.*)$ http://www.yourdomain.com/$1 [R=301,L]
หมายเหตุ วิธีการนี้จะใช้ได้เฉพาะ Apache webserver ที่เปิดการใช้งาน RewriteEngine ด้วยเท่านั้น
หมายเหตุ วิธีการนี้จะใช้ได้เฉพาะ Apache webserver ที่เปิดการใช้งาน RewriteEngine ด้วยเท่านั้น
How to Success|การสร้างตัว|เคล็ดลับการสร้างตัวของคนธรรมดา
คุณสมบัติผู้ก้าวไกล meScript.com November 9th, 2008 at 4:05 am
บทความเคล็ดลับการสร้างตัวของคนธรรมดา อาแปะผมขาว ได้แนะนำพื้นฐานการสร้างตัวนั้น จะต้องประกอบไปด้วย คุณสมบัติพื้นฐานที่เราต้องมี คือ ความอดทน ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ความประหยัด และความมีน้ำใจ
3 เดือนมานี้ ได้ยินเพื่อนบ่นไม่อยากทำงาน อยากเปลี่ยนงานกันหลายคน ก็พลอยทำให้ตัวเองรู้สึกแบบเดียวกันไปด้วย ช่วงปีใหม่ได้มีโอกาสกลับบ้านต่างจังหวัดได้ปล่อยใจพักผ่อนหย่อนใจ ก็ทำให้เรามีความสุขใจขึ้นมาหน่อย และ ระหว่างที่เราอยู่ที่นั่น ก็ได้พบปะคนเฒ่าคนแก่หลายคน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน พวกผู้เฒ่าจะนั่งจับกลุ่มสนทนากับอาก๋งของเรา ซึ่งนานๆทีเราถึงจะได้กลับบ้าน พอเขาเห็นเรา ก็เรียกเข้าไปคุยด้วย
ช่วง ก่อนสร้างตัว
บทความเคล็ดลับการสร้างตัวของคนธรรมดา อาแปะผมขาว ได้แนะนำพื้นฐานการสร้างตัวนั้น จะต้องประกอบไปด้วย คุณสมบัติพื้นฐานที่เราต้องมี คือ ความอดทน ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ความประหยัด และความมีน้ำใจ
เคล็ดลับ การสร้างตัว ของคนธรรมดา

3 เดือนมานี้ ได้ยินเพื่อนบ่นไม่อยากทำงาน อยากเปลี่ยนงานกันหลายคน ก็พลอยทำให้ตัวเองรู้สึกแบบเดียวกันไปด้วย ช่วงปีใหม่ได้มีโอกาสกลับบ้านต่างจังหวัดได้ปล่อยใจพักผ่อนหย่อนใจ ก็ทำให้เรามีความสุขใจขึ้นมาหน่อย และ ระหว่างที่เราอยู่ที่นั่น ก็ได้พบปะคนเฒ่าคนแก่หลายคน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน พวกผู้เฒ่าจะนั่งจับกลุ่มสนทนากับอาก๋งของเรา ซึ่งนานๆทีเราถึงจะได้กลับบ้าน พอเขาเห็นเรา ก็เรียกเข้าไปคุยด้วย
ก็เลยได้มีโอกาสถามสิ่งที่อยากรู้ มานาน ซึ่งเป็นเรื่องของ อาแปะผมขาว ที่สร้างเนื้อสร้างตัว จากคนจีนโพ้นทะเล เสื่อผืนหมอนใบ จนมีทรัพย์สินหลายสิบล้าน ส่งเสีย ญาติพี่น้อง สามสี่สิบคน ได้ดิบได้ดีกันทุกคน ยังไม่แค่นั้น แกยังมีเงินส่งกลับเมืองจีน เลี้ยงคนที่เมืองจีนอีก 50 – 60 ชีวิต ที่นั่น จนจัดว่าเป็นผู้มีอันจะกินของหมู่บ้านนั้น
ด้วยวัยสามสิบ ต้นๆของเรา สิ่งที่คนวัยนี้อยากรู้ก็คือ อาแปะตั้งตัวขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นเจ้าของกิจการได้ ทั้งๆที่ไม่มีทุนรอน ไม่ความรู้ ไม่มีการศึกษา เกื้อหนุนสักอย่าง
อาแปะเหมือนรู้ใจเรา เหมือนรู้ว่าเราคิดอะไร อาแปะเลยบอกว่า อั๊วจะสอนเคล็ดลับความรวยให้ลื้อฟัง ซึ่งผมสรุปใจความได้ว่า
ช่วง ก่อนสร้างตัว
สิ่งที่ต้องมี สิ่งแรก ก็คือ
ความอดทน
ช่วงนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะว่าเรายังโง่อยู่
ใครมีงานอะไรให้ทำ ก็ทำมันทุกอย่างให้หมด
แต่ต้องไม่ลืมถามเถ้าแก่ว่า
เป้าหมายของงานมันคืออะไร
จะได้รู้ว่าคนที่เป็นเจ้าของเขาคิดอะไร
ช่วงแรกไม่ว่าจะโดนโขกสับอย่างไร
ก็ต้องทน และก็จำอย่างเดียว
ยังคิดไม่เป็น
แต่การทำงานหลายๆอย่าง
ทำให้ความรู้เรามากขึ้น
ซึ่งถ้าเราไม่อดทน
ก็จะไม่ทันได้เรียนรู้
แล้วก็เลิกล้มความตั้งใจทำงานเสียก่อน
แต่เมื่อเรียนรู้ไปสักพัก สัก 4-5 ปี อารมณ์
ความเก่งมันจะกระฉูด เราจะคิดว่าเราเก่ง
ความเก่งมันจะกระฉูด เราจะคิดว่าเราเก่ง
เราแน่ ใจใหญ่ กล้าเสี่ยง
เพราะเราก็เหมือนกบในกะลา ยังไม่เจอโลกกว้าง
ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองนั้น ความรู้ยังไม่แตกฉาน
ยังไม่ปะติดปะต่อ กันเลย
ยังไม่ปะติดปะต่อ กันเลย
ดังนั้นช่วงวัยนี้ หลายคนจะเริ่มออกจากงานและออกมาทำเอง
แต่ด้วยความไม่เข้าใจ การตลาด การเงิน การบริหารคน
สุดท้ายแล้ว ธุรกิจก็เจ๊ง
สิ่งที่สอง ที่เราต้องมี คือ
ความกระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้ วาดฝัน
ศึกษาวิธีคิดทุกอย่างที่เถ้าแก่เขาทำ
ต้องรู้จักเพราะถามแล้ว ได้คำตอบหรือไม่ได้คำตอบก็ไม่มีการขาดทุน
มีแต่ได้กับได้ ทำจนวันหนึ่ง พอเถ้าแก่ไม่ทันจะสั่ง เราก็คิดออกก่อน
มีแต่ได้กับได้ ทำจนวันหนึ่ง พอเถ้าแก่ไม่ทันจะสั่ง เราก็คิดออกก่อน
ซึ่งหากเราทำจนเราคิดเหมือนเถ้าแก่แล้ว
ตอนนี้จึงค่อยคิดเรื่องสร้างตัว สร้างธุรกิจของตัวเอง
ซึ่งขั้นตอนนี้ จะเร็ว จะช้า ขึ้นอยู่กับ ความสามารถ
ความเอาใจใส่ของตัวเราเอง
แต่แม้จะมีความรู้แล้วก็ตาม
แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะออกมาทำ
สิ่ง ที่สามที่ต้องทำมาตลอดตั้ง
แต่เริ่มการทำงาน ก็คือ
ความประหยัด
เพราะเราไม่รู้ว่า วันใดเราจะต้องใช้เงิน
ดังนั้นการกิน การใช้จะต้องระมัดระวัง
ต้องเก็บให้มาก เพื่อ สำรองไว้เป็นเงินทุนในอนาคต
เก็บมากขนาดไหนนั้น ตอบไม่ได้ว่าเท่าใด
แต่มันต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เราจะลงทุน
เราต้องมีเงินทุนให้มากพอหมุนได้อย่างน้อยสัก 6 เดือน
เพราะธุรกิจ สามเดือนแรกจะลำบากมาก
เพราะธุรกิจ สามเดือนแรกจะลำบากมาก
ยังไม่มีลูกค้ามากนัก แถมรายได้เราก็ไม่มีแล้ว
ดังนั้น เราต้องมีเงินทุนให้พอยืนหยัดให้ได้อย่างน้อย 6 เดือน
ก็พอจะทำให้เรามีเวลาดิ้นรน
มีเวลาคิดเอาตัวรอดได้
แต่แม้จะมีสิ่งข้างต้นแล้ว
ซึ่งดูเหมือนว่าเพียงพอที่จะเริ่มต้นธุรกิจแล้วก็ตาม
แต่ สิ่งที่ต้องมีข้อที่สี่
จะช่วยให้ธุรกิจของเรา
มีความเสี่ยงลดลงในอนาคต นั่นก็คือ
ความมีน้ำใจ
ซึ่งเราต้องสร้าง และสะสมตั้งแต่สมัยทำงานใหม่ๆเลยทีเดียว
เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่า
นหนึ่ง เพื่อนร่วมงาน อาจกลายเป็นลูกค้าของเราในอนาคต ,
บางคนอาจกลายเป็นลูกน้องที่เก่งกาจของเรา ,
บางคนอาจกลายเป็นนายทุนเงินกู้ หรือ
บางคนอาจนำพาเราไปสู่การได้ลูกค้ารายใหญ่ ก็ได้
เดิมทีอั๊วก็ไม่ได้รู้ว่าความมีน้ำใจกับคนรอบข้างนั้นสำคัญหรอก
แต่เมื่อก่อนอั๊วเป็นคนขยัน ชอบเรียนรู้
อยากได้ความรู้ ก็เลยไปช่วยเขาทำงาน
ถูกคนอื่นโบ้ยงานให้ก็ไม่บ่น ไม่คิดมาก
เราเข้าไปช่วยคนอื่นเขาหมด
และด้วยนิสัยไม่ชอบเอาเปรียบใคร
ก็เลยมีอะไรมา ก็แบ่งปัน
ลูกค้าเอาขนมมาให้อั๊วก็แจกทุกคน แบ่งๆกันไป
จนมาทีหลังถึงมารู้ว่า ความมีน้ำใจ นำหลายๆสิ่งดีๆมาให้กับเรา
ซึ่งหลังจากทำธุรกิจไปสักพักหนึ่ง
ความมีน้ำใจของเรา จะเริ่มมีบทบาท
สำคัญต่อความอยู่รอดของธุรกิจ ในอนาคตเป็นอย่างมาก
สำคัญต่อความอยู่รอดของธุรกิจ ในอนาคตเป็นอย่างมาก
จากสิ่งที่อาแปะเล่าให้ฟัง ทำให้ผมพบว่า
เราต้องหางานที่เราชอบให้พบเสียก่อน
เหมือนช่วงแรกที่อาแปะทำงานมาหลายงาน
และเมื่อพบงานที่ชอบ ก็ต้องอาศัยความอดทน
ทนบ่น ทนเบื่อ ทนสิ่งต่างๆนานา
ทนบ่น ทนเบื่อ ทนสิ่งต่างๆนานา
เพื่อเรียนรู้งานให้แตกฉาน จนคิดได้เหมือนเจ้าของ
จึงพอที่เราจะเริ่มคิดทำธุรกิจของตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด
เพื่อสำรองเงินทุนในอนาคตไว้ให้มีพร้อมตลอดเวลา
แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องไม่ลืมความมีน้ำใจกับคนรอบข้าง
ซึ่งนั้นก็คือ Connection ของเราในอนาคต ยิ่งมีมากเท่าใด
โอกาสทางธุรกิจก็ย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552
บทความ|A+*****|การปฏิบัติต่อผู้ที่กำลังสิ้นใจ
ตลอดจนความเข้าใจของคนไทย เกี่ยวกับประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่กำลังสิ้นใจ
ส. ศิวรักษ์ บรรยายที่ศูนย์อบรมงานอภิบาล บ้านผู้หว่าน อ. สามพราน จ. นครปฐม
ความหมายของความตาย
การปฏิบัติต่อผู้ที่กำลังสิ้นใจในวัฒนธรรมไทย
ตลอดจนความเข้าใจของคนไทย
เกี่ยวกับประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่กำลังสิ้นใจ
การแสดงบรรยายตามหัวข้อที่กำหนด จำต้องแบ่งเป็นข้อๆ คือ
(๑) ความหมายของความตาย
(๒) การปฏิบัติต่อผู้ที่กำลังสิ้นใจในวัฒนธรรมไทยและ
(๓) ความเข้าใจของคนไทยเกี่ยวกับประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่กำลังสิ้นใจ
(๑) ความหมายของความตาย
ตามตำนานทางพุทธศาสนากล่าวไว้ชัดเจนว่า
" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็น
คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะนั้น
ต้องพระประสงค์จะเอาชนะความทุกข์
ที่มีความแก่ ความเจ็บ และความตายเป็นประเด็นที่สำคัญ
นอกเหนือไปจากการพลัดพรากไปจากของรักก็เป็นทุกข์
เผชิญกับสิ่งซึ่งไม่รัก ไม่พึงประสงค์ก็เป็นทุกข์ "
โดยที่พุทธศาสนิกเชื่อว่า
"การออกบวชของสิทธัตถะ
ที่ทิ้งความเป็นเจ้าชายอันหรูหรา
และฟุ้งเฟ้อ ออกไปเป็นพระสมณโคดม
ผู้ไม่ต้องการความสุดโต่ง
ของนักบวชที่ทรมานกายทั้งหลายนั้น
พระองค์ทรงค้นพบสภาวะของความไม่ตาย หรือความเป็นอมตะ
คือทรงตื่นขึ้นจากการครอบงำ และการติดยึดต่างๆ
ในทางความโลภ โกรธ หลง
จนทรงปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิง "
" นี้แลคือความเป็นพุทธะ หรือความตื่น ที่ปราศจากความกลัว
ไม่ว่าจะกลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย หรือความกลัวอย่างอื่นๆ
เช่น กลัวว่าจะไม่มีคนยอมรับ กลัวจะไม่ได้รับความสำเร็จในชีวิต
กลัวความโดดเดี่ยวเดียวดาย กลัวความเหงา ฯลฯ
ซึ่งล้วนพอกพูนกับความเห็นแก่ตัวอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
" ในศาสนาพุทธใช้คำว่ามาร ว่าเป็นประหนึ่งตัวเลวร้าย
ที่คอยขัดขวางความเจริญงอกงามในทางสติปัญญา
มารมักมาชักชวนให้หลงไหลได้ปลื้ม
ไปกับลาภ ยศ สุข สรรเสริญต่างๆ ในทางโลก
แท้ที่จริง มาร คำนี้ กับ มรณะ ความตาย เป็นไวพจน์กัน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า มารย่อมมองไม่เห็นผู้ที่ไม่กลัวตาย "
ท่านอาจารย์พุทธทาสมักสอนศิษยานุศิษย์อยู่เสมอ
" ให้รู้จักตาย เสียแต่ก่อนตาย"
กล่าวคือ " ความตายไม่ได้หมายความเพียงว่า
เป็นเวลาที่เราสิ้นใจหรือสิ้นอายุขัย หรือหมดลมหายใจ
นั่นเป็นเพียงกระบวนการอย่างหนึ่งในทางธรรมชาติ
แต่ถ้าเรารู้จักฝึกปรือให้มีความตื่นอย่างรู้ตัว
ทั่วพร้อมอยู่เนืองนิตย์จนไม่ติดยึด
ในความเป็นเรา เป็นเขา เป็นกู เป็นมึง
หากเข้าใจซึ้งถึงความเป็นอิทัปปัจจยตา
คือความโยงใยถึงกันและกันอย่างปราศจากอัตตา
นี่เท่ากับว่าเราฆ่าตัวกูให้ตายเสียได้แล้ว
เมื่อหมดความเห็นแก่ตัวเรา
ก็เท่ากับว่าเราตายแล้วในทางตัวตน กู มึง
หากเราดำรงสติอยู่อย่างรู้ตัวทั่วพร้อม
เพื่อจะรับใช้สรรพสัตว์เท่าที่ชีวิตหรือลมปราณยังดำรงอยู่
ตัวตนหมดไปแล้วมีแต่ความต่อเนื่องในทางธรรมชาติ
ที่ผู้ซึ่งไม่เห็นแก่ตัวย่อมสามารถเต็มเปี่ยมไปได้ด้วย
ความกรุณาหรือความรัก พร้อมๆ ไปกับปัญญา
หรือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและอย่างเป็นองค์รวม
ถึงสภาวะสัตย์ที่แท้ ที่เป็นตัถตาหรือความเป็นเช่นนั้นเอง "
ผู้ที่เข้าถึงสภาวะดังกล่าว
ศัพท์ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า" ตถาคต "
ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกพระพุทธเจ้า
ผู้เข้าถึงความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง
ดังพระสมณโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ได้ตายเสียสนิทจากความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
แต่เมื่อวันตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อพระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา
หากได้เสด็จสั่งสอนเวไนยนิกรต่อไปอีก ๔๕ พรรษา
ก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ตื่นอย่างเต็มที่ จนถึงขั้นนิพพาน
ตายแล้วก็ย่อมเกิดอีก เป็นวัฏฏสงสารอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
โดยจะไปเกิดดีกว่าหรือเลวลง
ขึ้นอยู่กับกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม
ที่ได้กระทำมาเมื่อยังมีชีวิตอยู่
อนึ่ง ผู้ที่มีสติ คือ กำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลาย
อย่างรู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เนืองนิตย์
ทั้งยังประกอบไปด้วยสัมปชัญญะ
คือความรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างชัดเจน
ย่อมอาจกำหนดได้ว่าจะตายเมื่อไร และจะเกิดเมื่อไร ที่ใด
ทั้งนี้เพียงเพื่อรับใช้สรรพสัตว์ ด้วยโพธิสัตวธรรมบารมี
โดยไม่หวังที่จะเกิดใหม่ ด้วยความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง
ดังทางธิเบตถือว่า ทะไลลามะองค์ปัจจุบัน
ได้กลับชาติมาเกิดในสถานะประมุขของศาสนาจักร
และอาณาจักรของธิเบตมาเป็นครั้งที่ ๑๔ แล้ว ดังนี้เป็นต้น
จะอย่างไรก็ตาม นี้เป็นเพียงเรื่องของความเชื่อ
ซึ่งไม่ได้บังคับให้ใครๆ ต้องเชื่อตาม
และความเชื่อดังกล่าวให้คุณก็ได้ ให้โทษก็ได้
พร้อมกันนั้น ตามแนวทางธรรมปฏิบัติของฝ่ายพุทธ
ก็เสนอให้ใครที่สนใจในเรื่องนี้
ให้ลองปฏิบัติดู ด้วยการใช้วิธีง่ายๆ
โดยสมมติว่ากลางวันวันนี้ คือชีวิตนี้
ตอนนอนหลับคือความตาย
ระหว่างที่หลับและฝันนั้น
ถือได้ว่าเป็นอันตรภพ
หรือสภาวะระหว่างตายกับเกิด
พอตื่นขึ้นในวันใหม่ ก็ถือได้ว่าเป็นการเกิดใหม่
ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติธรรมอาจเจริญสติและสัมปชัญญะในชีวิตประจำวัน
จนกำหนดความฝันได้และกำหนดได้ว่า
ตอนตื่นขึ้นมา จะมีทัศนคติที่ดีขึ้น
เพื่อประกอบกุศลจรรยาได้ยิ่งๆ ขึ้น
หากทำได้ในวันหนึ่งและคืนหนึ่ง ฉันใด
ก็ทำได้ในตอนตายหรือใกล้ตาย กับตอนเกิดฉันนั้น
ที่ว่ามานั้น เจาะจงอยู่กับการตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งตามปกติแล้วยากลำบากมิใช่น้อย
โดยทั่วๆ ไป ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างถึงขนาด
ย่อมไม่อาจกำหนดได้ ว่าตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร
ขึ้นอยู่กับกุศลหรืออกุศล ซึ่งได้ประพฤติปฏิบัติมาในชีวิต
ความข้อนี้ พญาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย
ได้เขียนอธิบายตามคัมภีร์ของฝ่ายพุทธศาสนาไว้แล้ว
ในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง หรือ เตภูมิกถา
ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญสุดของไทยตลอดมา
จนถึงรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นอย่างน้อย
ภพหรือภูมิทั้งสามนี้ได้แก่
๑) กามภพ ของสัตว์ ผู้ยังเสวยกามคุณ
ได้แก่ อบาย ๔ (คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน)
มนุษย์โลก ๑ และกามวจรสวรรค์ ๖
(จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดีและปรนิมมิตสวัตดี)
๒) รูปภพ ของสัตว์ที่เจริญสมาธิภาวนาเข้าถึงรูปฌาน
ได้แก่ รูปพรหมทั้ง ๑๖
๓) อรูปภพ ของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน
ได้แก่อรูปพรหม ๔
พุทธศาสนาถือว่าสัตว์ในภพทั้งสามนี้
ก็ล้วนถึงความตายได้ด้วยกันทั้งนั้น
แม้พรหมก็หมดความเป็นพรหมได้
เช่นเทวดาหมดความเป็นเทพ
และมนุษย์ ตลอดจนสัตว์นรกก็หมดสภาพนั้นๆ ได้เช่นกัน
จะไปเกิดใหม่ให้ดีกว่าเก่าหรือเลวกว่าเก่า
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างหลายประการ
ที่กล่าวมานั้น เป็นทฤษฎีในทางพุทธศาสนา
ที่มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
และผู้ที่เข้าใจได้อย่างแท้จริง ต้องปฏิบัติธรรมในทางจิตสิกขา
คือไม่ใช้แต่ความเข้าใจในทางหัวสมอง
หรือติดยึดในตัวคัมภีร์เท่านั้น
หากต้องเปิดหัวใจให้กว้างอย่างเจริญสติ
ให้ตื่นจากความเห็นแก่ตัวได้มากเท่าไร
จึงจะลดอคติที่ครอบงำตนเองได้มากเท่านั้น
แล้วจึงจะแลเห็นความวิเศษมหัศจรรย์
อย่างสลับซับซ้อนของชีวิต
ที่มีรหัสยนัย ในทาง Mysticism อันล้ำลึก
ยิ่งคนสมัยนี้ด้วยแล้ว ถูกวิทยาศาสตร์กระแสหลัก
และเทคโนโลยีอันทันสมัยต่างๆ
ประหัตประหารความเชื่อดั้งเดิม
จนทำลายความศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ไปอย่างน่าเสียดาย
มนุษย์ก็เลยกลายไปเป็นเครื่องยนต์กลไก
นับถือวัตถุ อำนาจ เงินตรา ยิ่งกว่าสิ่งอันประเสริฐสุด
ซึ่งไปพ้นโลกมนุษย์อย่างสูงส่งดีงาม
จนไม่อาจสามารถานิยามได้ตามภาษาคน
ซึ่งในทางพุทธศาสนาใช้คำว่าโลกุตร
สำหรับพุทธศาสนิกชนคนธรรมดาๆ นั้น
มุ่งที่วิถีชีวิตในสามระดับคือ
๑) ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์สุขในชาตินี้ ชีวิตนี้หรือในปัจจุบันนี้
๒) สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์สุขสำหรับชาติหน้า
หลังจากแตกกายทำลายขันธ์หรือตายไปแล้ว
๓) ปรมัตถะ ประโยชน์สูงสุด คือความดับสนิทจากกองทุกข์ทั้งปวง
โดยไม่จำต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ทั้งสามประการนี้ มีคำสอนเป็นแนวทางให้ประพฤติปฏิบัติได้เป็นขั้นๆ
๒) การปฏิบัติต่อผู้ที่กำลังสิ้นใจ
ในวัฒนธรรมไทย
สำหรับคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกนั้น
ย่อมประพฤติตนด้วย ทาน ศีล ภาวนา
เป็นแนวทางของการปฏิบัติทาน คือ การให้
(๑) ให้วัตถุสิ่งของตั้งแต่ให้ส่วนเกิน
จนให้สิ่งซึ่งเรารักและหวงแหนอย่างที่สุด
เพื่อเอาชนะความเห็นแก่ตัว
เพราะพุทธศาสนาแนะแนวทาง
เพื่อแปรความโลภให้เป็นทาน
(๒) ให้สัจจะ ให้ความรู้ที่เป็นจริง
โดยเฉพาะก็ในสังคมที่เต็มไปด้วยความโกหก ตอแหล
กึ่งดิบกึ่งดี กึ่งจริงกึ่งเท็จ
แม้ผู้พูดวาจาสัตย์จะเดือดร้อนเพียงใด
ก็พึงให้ธรรมเป็นทาน ซึ่งสูงส่งกว่าอามิสทาน
(๓) อภัยทาน เอาความกลัวออกไปจากตัวตน
จนอาจเข้าถึงความไม่กลัว
มีนัยได้ว่าเป็นการกระทำที่สูงสุดสำหรับชีวิตมนุษย์
และนี่ก็คือการเอาชนะความตายนั่นเอง
ศีล คือ การประพฤติปฏิบัติที่ไม่เอาเปรียบตนเองและผู้อื่น
ซึ่งพูดง่าย แต่ทำยาก
ภาวนา คือ การทำใจให้สงบ ให้สะอาด ให้สว่าง
เพื่อรู้ชัดว่าความประพฤติเช่นไรคือการเอาเปรียบหรือไม่เอาเปรียบ
เพราะบ่อยครั้ง เรานึกว่าเรารับใช้ผู้อื่น ทั้งๆ ที่เราเอาเปรียบเขา
ยังโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมและรุนแรง
ก็เปิดโอกาสให้คนรวยเอาเปรียบคนจน
คนมีอำนาจเอาเปรียบคนไร้อำนาจ อย่างมักจะไม่รู้ตัว
ดังผู้ชายที่เอาเปรียบผู้หญิง ครูที่เอาเปรียบศิษย์
แม้จนพระที่เอาเปรียบฆราวาส ฯลฯ นั่นเอง
จำเพาะการภาวนาที่นำจิตใจไปถึงความไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้น
ที่ทานและศีลจึงจะบริสุทธิ์จริงๆ หาไม่ภาวนาก็เป็นโทษได้เช่นกัน
ในวัฒนธรรมไทยพุทธนั้น
ผู้ปฏิบัติธรรม ทั้งทางทาน ศีล และภาวนา
อย่างมีสติและสัมปชัญญะอยู่เสมอนั้น
ย่อมรู้ตัวเองว่าจะสิ้นใจเมื่อไร
ในประสบการณ์ของข้าพเจ้านั้นเคยรู้จักขุนเกษม
บิดาของป้าสะใภ้ ซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกับ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสโร) วัดอนงคาราม
ท่านผู้นี้เป็นคหบดี ชาวสวน หากไม่ติดยึดในสมบัติวัสดุ
ให้ทานและรักษาศีลอยู่เนืองนิตย์กับภาวนาเป็นอาจินต์
พอถึงเวลาจะตาย ท่านเรียกลูกหลานมาบอก
แล้วท่านก็เจริญ อานาปานสติจนสิ้นลมปราณ
นี่ไม่ใช่ตัวอย่างเดียว ตัวอย่างเช่นนี้มีมากในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม
สาทิศ กุมาร บรรณาธิการนิตยสาร Resurgence ที่อังกฤษ
และเป็นผู้ก่อตั้ง Schumacher College ที่ประเทศนั้น
เขียนเล่าไว้ว่า มารดาของเขาที่อินเดีย
เป็นคนถือศาสนาชินะ ซึ่งใกล้เคียงกับพุทธศาสนามาก
เธอรู้ตัวว่าถึงอายุขัยแล้ว ก็ลาญาติมิตร
แล้วเริ่มอดอาหาร จนตายจากไปอย่างไม่ทรมาน
และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ
ที่สวนโมกข์ ก็มีอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งแทบไม่มีใครรู้จัก
หากปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นมานาน
ครั้นถึงกาลอวสาน ก็บอกคนให้ไปเรียนท่านอาจารย์พุทธทาส
ให้มาดูการตายของท่าน
ซึ่งภาวนาด้วยการเดินลมหายใจอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม จนหมดลมไป
ที่ว่ามานั้นเป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญ
ในกรณีของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน อย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ นั้น
เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล)
แต่เมื่อยังเป็นพระยาบุรุษยรัตนราชมานพ
ได้จดหมายรายละเอียดวาระที่สุด
ของพระองค์ท่านไว้อย่างน่าสำเหนียก ดังนี้
ครั้นเวลา ๒ ทุ่ม ๖ นาที
จึงรับสั่งเรียก พระยาบุรุษย์ว่าพ่อเพ็งจ๋าเอาโถมารองเบาให้พ่อที
พระยาบุรุษย์จึงเชิญโถพระบังคนขึ้นไปบนพระแท่นถวาย
ลงพระบังคนเบาแล้วก็ทรงพลิกพระองค์ ไปข้างทิศตะวันออก
รับสั่งว่าจะตายเดี๋ยวนี้แล้ว
แล้วพลิกพระองค์หันพระพักตร์ไปข้างทิศตะวันตก
รับสั่งบอกอีกว่าจะตายเดี๋ยวนี้แล้ว
ทรงภาวนาว่า อรหังสัมมาสัมพุทโธ
ทรงอัดนิ่งไป แล้วผ่อนอัสสาสะประสาสะเป็นคราวๆ ยาว
แล้วผ่อนสั้นเข้าทีละน้อยๆ หางพระสุรเสียงมีสำเนียงดังโธๆ ทุกครั้ง
สั้นเข้า เสียงโธก็เบาลงทุกที
ตลอดไปจนยามหนึ่งจึงดังครอกเบาๆ
พอระฆังบนหอทัศนัยย่ำยาม ๑ นกตุ๊กร้องขึ้นตุ๊กหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็เสด็จสวรรคต เวลายาม ๑ กับ ๕ นาที
พระอิริยาบถที่ทรงบรรทมเหมือนพระพุทธไสยาศน์
พระสิริร่างกายแลพระหัตถ์พระบาทจะได้ไหวติง
กระดิกกระเดี้ยเหมือนสามัญชนทั้งปวงนั้นหามิได้
ในขณะนั้นมีหมอกกลุ้มมัวเข้าในพระที่นั่งทั่วไป
พระเจ้าลูกเธอแลท่านข้างในที่ห้อมล้อมอยู่นั้น
สงบสงัดเงียบ ไปจนยามเศษ
พระยาบุรุษย์ จึงกราบทูลพระเจ้าลูกเธอแลบอกท่านข้างในว่า
พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว
ที่ว่ามานี้ เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติธรรม ย่อมตายอย่างมีสติ
และไม่ได้เอ่ยถึงพระสงฆ์องคเจ้าเอาเลย
แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญที่อ่อนทางด้านทาน ศีล ภาวนาแล้วไซร้
เมื่อเวลาใกล้ตาย ตามวัฒนธรรมไทยโดยทั่วๆ ไป จะใช้ ๒ วิธีคือ
(๑) บอกพระอรหัง
คือให้คนใกล้ตายได้ยินถ้อยคำอันวิเศษสุดในทางพุทธศาสนา
เพราะอรหังสัมมาสัมพุทธะ หมายถึง
พระบรมศาสดาผู้หมดกิเลสแล้วโดยสิ้นเชิง
หาไม่ก็หมายถึงพระอริยสาวก
ซึ่งได้เข้าถึงความดับทุกข์ตามรอยพระพุทธบาท
ถ้าผู้ใกล้ตายได้ยินถ้อยคำเช่นนี้
จนน้อมน้าวเข้ามาไว้ในใจ จิตย่อมเป็นกุศล
แม้เคยทำบาปกรรมมา เวลาตายจากไป
ก็ย่อมไปในทางของสุคติได้
เพราะอำนาจของพระพุทธคุณหรือพระสงฆคุณ
(พระธรรมคุณอาจเป็นนามธรรมมากเกินไปสำหรับคนธรรมดาสามัญ)
(๒) ให้เอาดอกบัวไปใส่มือผู้ใกล้ตาย
แล้วกระซิบข้างๆ หู อย่างดัง ๆ ว่า
"ฝากเอาดอกบัวไปบูชาพระจุฬามณีเจดีย์"
เพราะชาวพุทธเชื่อว่า
เมื่อพระมหาสัตว์ตัดพระเมาลี ตอนออกจากกรุงกบิลพัสถ์
เพื่อทรงเพศเป็นบรรพชิตนั้น พระอินทร์รับเอาเส้นพระเกศา
ที่เรียกกันว่าพระจุฬามณีไปก่อเป็นพระเจดีย์ไว้บนดาวดึงส์สวรรค์
ถ้าผู้ตายไม่ได้ทำบุญไว้เพียงพอ ย่อมขึ้นไปไม่ถึงสวรรค์ชั้นนั้น
แต่เพราะรับปากไว้ในใจกับคนที่เขาฝากดอกบัวไปบูชาพระ
จึงต้องแข็งใจตะเกียกตะกายขึ้นบันไดสวรรค์ไปจนได้
ไหว้องค์พระอย่างสมใจ
คือคนเป็นใช้อุบายช่วยให้คนตายได้ขึ้นสวรรค์นั่นเอง
ที่ญี่ปุ่น พุทธสาสนิกส่วนใหญ่มักไม่ได้ปฏิบัติธรรม
หากสังกัดในนิกายชินมากกว่านิกายอื่นๆ
ทางนิกายนี้เน้นให้เอารูปพระอมิตพุทธมาตั้งไว้ให้คนใกล้ตายได้เห็น
เพื่อจิตจะได้น้อมนำไปที่พระพุทธานุภาพ
แล้วจะได้ไปเกิดในแดนสุขาวดีของพระอมิตพุทธ
สำหรับไทยเรา วิธีทั้งสองที่กล่าวมานี้
ดูจะใช้กันแพร่หลายในหมู่ชาวพุทธที่เป็นชาวบ้าน
ส่วนผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ต้องการให้ใครมาบอกพระอรหัง
หรือให้ใครเอาดอกบัวมาใส่มือแล้วมากระซิบกระซาบสั่งความ
เพราะท่านนั้นๆ ต้องการความสงบ ต้องการเจริญสติ
ความเงียบจะช่วยได้มากในกรณีที่ไม่ต้องการความเงียบ
การที่ผู้ใกล้ตายได้ยินเสียงสวดมนต์
ก็ถือว่าเป็นการช่วยให้ผู้ใกล้ตายได้เกิดศรัทธาความเชื่อ
ปสาทะความเลื่อมใส ในพระรัตนตรัย
เป็นการปูทางไปสู่สุคติได้
แม้ผู้ใกล้ตายจะไม่เข้าใจความหมายของบทสวดเลยก็ตาม
แต่ที่นิมนต์พระมาสวดนั้น
มักนิยมสวดโพชฌังคปริตต์ ทั้งๆ ที่ข้อความในบทสวดนี้
ช่วยให้ผู้ที่ได้ฟังและรู้ความหมาย เจริญสติตามไปด้วย
ย่อมเอาชนะความป่วยไข้และความตายเสียได้ก็ตาม
ไม่ว่ากรณีใดๆ วัฒนธรรมทางฝ่ายพุทธ
เสนอไม่ให้ร้องไห้ฟูมฟาย แสดงความเสียอกเสียใจ
ซึ่งจะทำให้ผู้ใกล้ตายเกิดความหงุดหงิดจนตั้งสติไม่ได้
หรือถ้าโกรธขึ้งขึ้นมาในตอนใกล้ตาย อาจไปเกิดในอบายภูมิได้ง่าย
แม้ตายแล้ว คนรอบข้างก็ควรเจริญสติ แผ่เมตตาให้ผู้ตาย
หรือแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์
เป็นที่น่าเสียใจว่าวัฒนธรรมดังกล่าวนี้
เป็นที่น่าเสียใจว่าวัฒนธรรมดังกล่าวนี้
ง่อนแง่นคลอนแคลนลงไปมากแล้ว
เพราะคนไทยสมัยนี้ไม่ตายที่บ้าน
หากไปตายในโรงพยาบาลอย่างฝรั่ง
ซึ่งบางทีมีสายระโยงระยางต่างๆ ยังการปั้มหัวใจ ฯลฯ
และบางแห่งก็ห้ามญาติเข้าไปในห้องของผู้ป่วย
โดยเฉพาะก็ห้อง ICU โดยที่ทั้งหมดนี้เป็นโทษกับผู้ตายทั้งนั้น
น่ายินดีที่คนสมัยใหม่ที่ปฏิเสธวัฒนธรรมกระแสหลักของตะวันตก
ได้หันมาหากระบวนการใกล้ตาย
และการเตรียมตัวตายอย่างธิเบตกันยิ่งๆ ขึ้น
แม้นี่จะไม่ใช่พื้นเพเดิมของวัฒนธรรมไทย
แต่ก็มีความใกล้เคียงกันทางความเป็นพุทธ
จนหนังสือประเภทนี้มีตีพิมพ์ออกมามากยิ่งๆ ขึ้นทุกที
เริ่มแต่ที่ข้าพเจ้าแปลและเรียบเรียงชื่อ
เตรียมตัวตายอย่างมีสติ และก็มีเรื่องอื่นๆ อีกมาก
ดังข้าพเจ้าได้ทำบัญชีไว้ท้ายปาฐกถานี้ เพื่อแจกท่านที่สนใจ
อนึ่ง ทางมหายาน มีอนาถปิณฑิกสูตร
ที่ใช้อ่านให้คนป่วยฟังอย่างน่านิยมยกย่องยิ่ง
แม้นี่จะยังไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมไทย
หากข้าพเจ้าได้แปลพระสูตรนั้นเป็นไทยแล้ว
อยู่ในเรื่อง พิธีกรรมสำหรับพุทธศาสนิกร่วมสมัย
กล่าวโดยย่อ พระสูตรนี้เล่าเรื่องว่า พระสารีบุตรและพระอานนท์
ได้ไปเยี่ยมท่านอุบาสกอนาถปิณฑิกะ
ซึ่งกำลังเจ็บป่วยถึงอาการใกล้ตายอยู่แล้ว
พระเถระสอนท่านอนาถปิณฑิกะให้สำรวมใจ
ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ว่าเป็นที่พึ่งอันสูงสุดอย่างไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า
ถ้าตายไปตอนนี้ ก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์
ถ้ายังคงมีสติอยู่ ให้ภาวนาต่อไปในความเป็นอนัตตา
ว่าตาไม่ใช่ตัวเรา หูไม่ใช่ตัวเรา จมูกไม่ใช่ตัวเรา
ลิ้นไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ใจไม่ใช่ตัวเรา ฯลฯ
เพื่อปล่อยวางอย่างไม่ติดยึด
โดยมีรายละเอียดเป็นข้อๆ อย่างน่าสนใจ
ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้ป่วยเจริญสติตามไปได้
เพื่อเกิดการปล่อยวาง จนเข้าได้ถึงความจริงที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะเหตุและปัจจัย ทุกสิ่งที่เป็นอยู่
มีธรรมชาติที่ไม่เกิดและไม่ตาย ที่จะไม่มาและไม่ไป
เมื่อตาเกิดขึ้น มันก็สักแต่เกิด มันไม่ได้มาจากไหนเลย
เมื่อตาดับ มันก็สักแต่ว่าดับ มันไม่ได้หายไปไหนเลย
ไม่ใช่ว่าไม่มีตา ก่อนตาจะเกิดขึ้น และก็ไม่ใช่ว่าตามีอยู่
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น
เพราะเหตุต่างๆ รวมตัวกัน เมื่อเหตุและปัจจัยพร้อม ตาก็เกิดขึ้น
เมื่อเหตุและปัจจัยไม่พร้อม ตาก็ปลาสนาการไป
และก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันกับหู จมูก ลิ้น กายและใจ
ดังเช่นกับที่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด
ตลอดจนการเห็น การได้ยิน การรับรู้ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ฯลฯ
ไม่มีอะไรเลยที่จะเรียกได้ว่าเป็นตัวตนของเรา
หรือถือได้ว่าเป็นบุคคล เป็นอาตมัน เพราะอวิชชาปิดบังไม่ให้เห็นสัจจะ
เมื่อมีอวิชชา ย่อมมีแรงกระตุ้นที่ผิด ย่อมมีการรับรู้ที่ผิด
เมื่อมีการรับรู้ที่ผิด ย่อมมีการรับรู้และผู้รับรู้
เมื่อมีผู้รับรู้และการรับรู้ ย่อมมีข้อแตกต่างระหว่างอายตนะทั้ง ๖
เมื่อมีข้อแตกต่างระหว่างอายตนะทั้ง ๖
ย่อมมีการสัมผัส สัมผัสก่อให้เกิดความรู้สึก
ความรู้สึกก่อให้เกิดความกระหาย
ความกระหายก่อให้เกิดความติดยึด
การติดยึดก่อให้เกิดการมีการเป็นหรือการแปรสภาพเป็นโน่นเป็นนี่
การแปรสภาพก่อให้เกิดการเกิด การตาย
และความทุกข์ต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ท่านอนาถปิณฑิกะ ได้ภาวนาตามคำสอนดังกล่าว
จนรู้แจ้งว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะเหตุและปัจจัย ไม่มีอะไรเป็นตัวตน
การภาวนาดังนี้เรียกว่า ภาวนาอยู่ในศูนยตา
นับเป็นการภาวนาอย่างสูงสุดและประเสริฐสุด
(๓) ความเข้าใจของคนไทย
เกี่ยวกับประเพณีเกี่ยวกับ
ผู้ที่กำลังใกล้สิ้นใจ
แทนที่จะบรรยายตามหัวข้อที่กำหนดให้ไว้
ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า
ซึ่งมีชื่อว่าสุภาพร พงษ์พฤกษ์
ซึ่งเคยเป็นมะเร็งมาเมื่อหลายปีก่อน
หากเธอปฏิเสธที่จะใช้วิธีการแพทย์แบบตะวันตกมารักษา
ดังเพื่อนคาทอลิกของข้าพเจ้าคนหนึ่งก็ปฏิบัติคล้ายเธอ
เขาคนนี้บวชเป็นบาทหลวงชื่อไอวัน อิลลิช
ซึ่งเคยเขียนหนังสือที่ น.พ. สันต์ หัตถีรัตน์
แปลเป็นไทยแล้วชื่อ แพทย์: เทพเจ้ากาลี
อิลลิชเพิ่งตายจากไปเมื่อปลายปี ๒๕๔๕
โดยไม่ยอมให้แพทย์ตะวันตกรักษาเขาเลย
สุภาพร เชื่อว่าเธอหายจากมะเร็งได้เมื่อกว่าสามปีที่แล้ว
จากการใช้อาหารสุขภาพ ตามแบบฉบับของนายสาทิศ อินทรกำแหง
พร้อมกับการเจริญสติ และทำโยคะ
เธอเขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งมีชื่อว่า
เมื่อฉันรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง
แต่แล้วเมื่อปีกลายนี้มะเร็งกลับมาเยือนเธออีก
เธอก็คงปฏิเสธการแพทย์แบบตะวันตกอยู่อีกเช่นเคย
เธอใช้วิธีอดอาหารและภาวนา
จอห์น แมกคอแนล ซึ่งเป็นเพื่อนชาวอังกฤษ
ที่ถือตนว่าเป็นพุทธศาสนิก
พร้อมๆ กับการเป็นคริสต ศาสนิกนิกายเควเก้อ
ได้ไปร่วมปฏิบัติธรรมกับเธอ
เขามาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
เธอภาวนาและอดอาหารเป็นเวลา ๑๙ วัน
กินแต่นำกับน้ำผลไม้ จนร่างกายอ่อนแอ
และแล้วร่างกายก็เริ่มกินเนื้อร้ายที่เกิดจากมะเร็ง
ตามปกติแล้ว ถ้าใช้ยาหรือการฉายแสงจะปราบเนื้อร้ายได้ชั่วคราว
แล้วมันก็จะแผ่ขยายออกอีก
แต่นี่เนื้อร้ายสู้กับร่างกายที่ปราศจากยาไม่ได้
จะอย่างไรก็ตาม ทั้งจอห์นและข้าพเจ้าเชื่อว่าพรคงต้องตายไม่เร็วก็ช้า
แต่เธอยอมรับสภาพความตาย ไม่ต่อสู้กับมัจจุราช
หากมีชีวิตอยู่ด้วยการเจริญสติ
พรอยู่ที่หาดใหญ่ ข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ
พรอยู่ที่หาดใหญ่ ข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ
ได้โทรศัพท์ไปลาเธอเมื่อปลายสิงหาคม ๒๕๔๕
ก่อนข้าพเจ้าจะไปสอนหนังสือที่สหรัฐหนึ่งภาคการศึกษา
นึกว่ากว่าจะกลับมา พรคงต้องตายจากไปแล้ว
ข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทยปลายธันวาคมศกนั้น
พรก็ยังอยู่อย่างมีสติ พอมกราคม ๒๕๔๖
ข้าพเจ้าก็ไปสอนที่สหรัฐอีกหนึ่งภาคการศึกษา
เชื่อว่าพรคงต้องตายก่อนข้าพเจ้ากลับคราวนี้เป็นแน่
แต่ข้าพเจ้ากลับมาเมืองไทยตอนปลายมีนาคม พรก็ยังอยู่
แม้จะอ่อนเปลี้ยไป เรายังโทรศัพท์พูดกันได้
ข้าพเจ้าถามว่าเธอต้องการอะไร
เธอบอกว่า เธอดีใจที่ข้าพเจ้าห่วงใยเธอ
สิ่งที่เธอต้องการคือหนังสือที่ข้าพเจ้าแปล
จากที่ท่านนัท ฮันห์ รจนา ภาคภาษาไทยชื่อ
ปัจจุบันเป็นเวลาอันประเสริฐสุด
ที่จริงเล่มนี้ ท่านอาจารย์พุทธทาส
ก็พูดกับพระที่ดูแลพระคุณท่านก่อนท่านจะพูดไม่ได้ว่า
เล่มนี้ดีที่สุด อ่านทีละบทและปฏิบัติตามนั้น ก็พอแล้ว
จอห์น แมกคอนแนล มาจากอังกฤษอีก
เพื่ออยู่กับพร ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอ
จอห์นเขียนรายงานการเผชิญความตายของเธออย่างมีค่ายิ่งนัก
ต่อไปคงเป็นหนังสือเล่มสำคัญ
แต่ตอนนี้ ขอให้ข้าพเจ้าอ่านบทความ
ของวาสนา ชินวรากรณ์ ให้ท่านฟังดีกว่า
บุตรีข้าพเจ้าช่วยแปลมาให้จากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
. . . พบกับความตายอย่างมีสติ. . .
สุภาพร พงษ์พฤกษ์ ผู้เขียนเรื่อง
เมื่อฉันรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง
ยังคงให้บทเรียนในการเผชิญหน้ากับจุดสุดท้ายในชีวิต
เรื่องโดย วาสนา ชินวรากรณ์
เรื่องโดย วาสนา ชินวรากรณ์
สุภาพร พงษ์พฤกษ์ไม่ใช่คนดัง
และฉันก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทของเธอ
สิ่งเดียวที่ฉันรู้เกี่ยวกับเธอคือเธอกำลังจะตาย
ฉันพบเธอครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน
ในฐานะนักเขียนเรื่องที่ฉันชื่นชอบหลายเรื่อง
เรื่อง เมื่อฉันรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง เป็นความทรงจำของสุภาพร
ในเวลาที่เธอใช้การรักษาทางเลือก แทนการผ่าตัดสมัยใหม่
ในการจัดการกับก้อนมะเร็งที่เต้านมซ้าย
แต่ไม่ใช่รายละเอียดของการทดลองหลากหลายของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นยาสมุนไพร โยคะ การนวด หรือธัญญาหารบำบัด ที่จับใจฉัน
แต่เป็นการเล่าอย่างตรงไปตรงมาถึงความกลัวในใจ
ความสับสน อึดอัด และที่สุด การค้นพบตนเอง
และยอมรับ “วิถีที่โลกเป็นไป” ความกล้าหาญที่เรียบง่ายเจือเมตตา
เมื่อฉันพลิกมาถึงหน้าสุดท้ายในหนังสือของเธอ
ฉันบอกกับตัวเองว่าสักวันต้องสัมภาษณ์ผู้หญิงคนนี้
เวลาผ่านไปจนเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
หลังจากการฝึกไท้ฉีที่สวนลุมฯ
เพื่อนเก่าของฉันคนหนึ่งเล่าว่าเพิ่งกลับมาจากหาดใหญ่
เธอไปทำงานแต่ได้แวะเยี่ยมสุภาพร ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนเก่า
และอาจเป็นการเยี่ยมครั้งสุดท้าย
การเอ่ยถึงชื่อเธอกระตุ้นความทรงจำฉัน
สุภาพรเป็นอย่างไรบ้าง
บทสุดท้ายของ เมื่อฉันรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง
จบลงด้วยข้อความที่สร้างความหวัง
คือ ผลตรวจพบว่ามะเร็งของเธอบรรเทาลง
ตอนนี้ดูเหมือนมันยังโจมตีและเอาชนะเธอได้
จากคำบอกเล่าของเพื่อน
สุภาพรแทบเคลื่อนไหวไม่ได้
หายใจอย่างยากลำบาก
แต่เธอยังคงปฏิเสธที่จะใช้เครื่องช่วยหายใจเท่าที่จะทำได้
เพื่อนบางคนของเธอพลัดเวรกันมาช่วยดูแลเธอ
แม่ผู้ชราของเธอ แม้จะอยากช่วยเหลือเพียงใด
ก็อ่อนแอเกินกว่าจะช่วยได้มากเท่าที่ต้องการ
อย่างไรก็ดี สุภาพรก็ยังยิ้มออก
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันประหลาดใจ
ฉันจำได้ว่าเคยคิดเมื่ออ่าน เมื่อฉันรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง ว่า
ผู้เขียนต้องเป็นคนมีนิสัยอย่างมีชีวิตชีวา
เพื่อนบางคนของเธอ (และเธอก็มีเพื่อนมาก)
เปรียบเทียบเธอกับนกสีสด
หนังสือของเธอเหมือนน้ำกลั้วคอ เยี่ยม กระจ่างและสดชื่น
สุภาพรต่อสู้ศึกระหว่างความเป็นกับความตายอยู่ตอนนี้
และหญิงที่น่าทึ่งคนนี้ ดูเหมือนจะพิสูจน์ความกล้า
เพื่อนอีกคนของฉัน ซึ่งก็เป็นคนคุ้นเคยกับสุภาพรด้วย
ส่งจดหมายจากจอห์น แมกคอนแนล นักกิจกรรมสันติภาพ
ผู้หยุดงานทั้งปวงเพื่อมาดูแลเพื่อนรักคนนี้ในช่วงสุดท้าย
พลังของพร (ชื่อเล่นของสุภาพร) มีจำกัด
และการพูดก็ใช้พลังไปมาก แต่เธอก็พยายามทำ
ทั้งรักษาตัวและติดต่ออย่างมีความหมายยิ่งกับคนรอบข้าง
แต่ละวันเธอได้ยิ้มและหัวเราะ
ส่วนหนึ่งของการพูดคุยเมื่อคืนแสดงถึงทัศนคติของเธอ
“จอห์น ฉันไม่คิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้”
“เธอเสียใจกับการตัดสินใจของเธอไหม”
“ไม่เคยเลย มันเป็นอนิจจัง (ไม่เที่ยงแท้) เป็นไปด้วยดี”
ในอีกฉบับซึ่งถูกส่งต่อถึงฉันโดยเพื่อนคนเดิมคือ
พระไพศาล วิสาโล (พระที่ดีองค์หนึ่งที่เรายังมี)
ที่เพิ่งกลับจากการเยี่ยมสุภาพร เล่าถึง คุณหมด
ที่หน่วยบรรเทารักษาของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยท้องถิ่น
ที่สุภาพรช่วยสอนเรื่องธรรมและการบำบัด
คุณหมด ทึ่งกับระดับความกระทางของจิตใจของคนไข้
ข้อมูลนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ
ในหนังสือความทรงจำของเธอ สุภาพรเล่าว่า
เพื่อนหลายคนของเธอ เมื่อรู้ว่าเธอเป็นโรคอะไร
บอกเธออยู่เสมอให้เริ่ม “ปฏิบัติธรรม”
วลีที่คนไทยมักใช้กับการทำสมาธิ
สุภาพรต้องทนอยู่นานกับคำแนะนำนี้
สิ่งที่กระตุ้นความสนใจของฉันคือ
คู่ขนานระหว่างสิ่งที่เธอประสบในอดีตกับการดิ้นรนครั้งใหม่นี้
ตอนแรก มะเร็งเปิดโลกให้
ให้สุภาพร เธอได้ค้นพบสังคมแห่งมิตรภาพอีกครั้ง
กลุ่มคนที่ยินดีจะสละเวลาและความคิด
เพื่อดูแลผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่กล้าหาญผู้นี้
สุภาพรเขียนว่า
เธอรู้สึกขอบคุณมะเร็งที่ให้โอกาสเธอได้สำรวจชีวิตภายใน
ได้เรียนรู้ว่าโลกของเรานี้ไม่เคยขาดความเมตตาและความรัก
ที่ปราศจากเงื่อนไขในวิญญาณมนุษย์ในธรรมชาติ
ตอนนี้จะเป็นความตาย ประตูชีวิตที่จะเตรียมบทเรียนใหญ่
ให้สุภาพรและเพื่อนๆ เมื่อสิ้นวัน
สุภาพรจะผ่านประตูไปแต่เพียงผู้เดียว
แต่ก่อนจบ ก็มักจะมีการดิ้นรนอย่างมาก
บททดสอบความปรารถนา สงสัย อะไรจะถูกค้นพบ
สุภาพรเล่าในหนังสือว่าก่อนเผชิญหน้ากับมะเร็ง
เธอเคยเชื่อว่าเธอมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับความตาย
มาเพียงพอที่เธอสามารถเอาชนะความกลัวสากลนี้ได้อย่างง่ายดาย
“ฉันแสดงความยโสต่อสมเด็จพระมหาโฆษนันทะ
(พระผู้ใหญ่จากเขมร) และท่านเพียงยิ้ม”
สุภาพรเล่า
ใน เมื่อฉันรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง
เมื่อท่านพระมหาโฆษนันทะยิ้ม ตาก็จะหยีเป็นเส้นเดียว
แล้วกล่าวว่า “ผู้ที่พูดว่าไม่กลัวตาย ไม่รู้ว่าความตายจริงๆ เป็นยังไง
ถ้ารู้ จะไม่พูด..
ที่จริง ความทรมานของมนุษย์เกือบทุกคนเกิดจากสิ่งนี้..
จากการกลัวตาย”
ท่านพูดต่อไปว่า
“การทำบุญเจ็ดครั้งไม่เท่าสร้างวัดแห่งเดียว
การสร้างวัดเจ็ดแห่งก็ไม่เท่าภาวนา (สมาธิ) ครั้งเดียว
และภาวนาเจ็ดครั้งก็ยังไม่เท่าพิจารณาความตายครั้งเดียว”
มันเป็นการเดินทางไกลสำหรับสุภาพร
เพื่อที่จะหาคำตอบต่อปริศนาของพระมหาโฆษนันทะ
วิธีจะพิจารณาความตายและการตาย
ที่สุดเธอพบคำตอบหรือไม่
หน้าสุดท้ายของ เมื่อฉันรู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง สุภาพรเล่าว่า
ความกลัวนี้ยังคง “ไปๆ มาๆ ขึ้นกับเหตุและปัจจัย”
แต่เธอว่าไม่รู้สึกเกลียดชังความรู้สึกนี้อีกแล้ว
ที่จริง การที่ความคิดหวาดกลัวเกิดขึ้นคือ
อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากลมหายใจสุดท้าย
เป็นเครื่องบ่งชี้ที่เป็นประโยชน์ถึงระดับสติสัมปชัญญะของเธอ
“มันเตือนว่าฉันใช้ชีวิตอนอย่างมีสติหรือไม่
หรือฉันประมาทอีกแล้ว
เป็นผลให้ฉันได้เรียนรู้ ที่จะทำความคุ้นเคยกับความกลัวของตัวเอง”
สุภาพรไม่ได้โด่งดัง และหลังจากที่เธอจากไป ไม่กี่ปี
ความทรงจำเกี่ยวกับเธอ
นอกจากผู้ที่รักเธอ จะจางหายไปในบ่อแห่งความหลงลืม
แต่ชีวิตก่อนตายของเธอ การดิ้นรนเพื่อยอมรับ
ไม่ต่อสู้วัฏฏสงสาร จะยังคงจุดประกาย
ให้ผู้คนที่หยิบหนังสือของเธอมาอ่าน
การ “พบ” กับความตายในปัจจุบันและครั้งสุดท้ายของเธอ
เป็นการศึกษาสำหรับเราทุกคน
เราพอใจในการดำรงอยู่ของเราหรือไม่
อะไรคือสิ่งที่เราชื่นชอบที่สุด
เราจะสามารถเอาสิ่งเหล่านั้นไปด้วยได้ไหม
อะไรคือสิ่งที่เราสามารถทิ้งไว้เพื่อโลก
เพื่อคนที่เรารัก เพื่อเพื่อนมนุษย์
นี่คือบทความสุดท้ายในหนังสือความทรงจำของเธอ
“ถ้าถึงเวลาที่ฉันต้องไปเพื่อใบไม้ใบนี้จะปลิดปลิว
ไม่ว่าจะด้วยมะเร็งหรือเหตุอื่นไม่ว่าช้าหรือเร็ว
ฉันหวังว่าฉันจะเป็นใบไม้ที่จะไม่ต้าน
เมื่อถึงการร่วงครั้งสุดท้าย
ฉันจะเป็นใบไม้ที่หลุดออกอย่างเป็นสุข”
สุภาพร พงศ์พฤกษ์
เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๐๑
และเพิ่งตายไปเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๖
โดยได้ปลงศพเธอไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนเดียวกัน
ปรารภขั้นสุดท้ายของเธอคือ
“ฉันกำลังแสดงนิทรรศการการตายให้พวกเธอดู”
ขอพวกเราจงช่วยกันภาวนาตามลัทธิศาสนาของเรา
ให้เธอได้ไปสู่สุคติภพด้วยเทอญ
ส. ศิวรักษ์
บรรยายที่ศูนย์อบรมงานอภิบาล
บ้านผู้หว่าน อ. สามพราน จ. นครปฐม
ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๖
ตามคำเชิญของเจ้าคณะนักบวชคามิลเลียน
ภาคผนวก
แปลจากจดหมายเวียนของจอห์น แมกคอนแนล
ผู้เขียนเรื่อง Buddhist Meditation
24/9
สภาพของสุภาพรทรงตัวขึ้นหน่อย การหายใจแย่ลง
แต่ยังไม่เท่าที่เธอคาดไว้ น้ำเสียงของเธอมีพลังขึ้น
แต่ผมว่ายังไม่ดีพอที่จะพูดโทรศัพท์ได้
หลังจากที่เธอดื่มแต่น้ำผลไม้
มาตลอดเป็นระยะเวลาหลายวัน
เธอเริ่มที่จะรับประทานอาหารอีกครั้ง เช่นเดียวกับคนทั่วไป
พรรู้สึกอึดอัดกับสภาวะการณ์ของเธอในปัจจุบัน
และอึดอัดความผิดพลาดของผู้คนรอบข้าง
ผมรู้สึกว่านี่เป็นสุขภาพที่ดี
สภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นในปริบทแห่งการดำรงชีวิตในแต่ละวัน
ที่ประกอบด้วยการทำสมาธิหลายครั้ง
และให้โอกาสผู้ที่ดูแลเธอเอาใจใส่ได้มากขึ้น
และสำหรับตัวพรเอง ช่วยให้รู้ตัวและปลดปล่อยความโกรธ
ตัวอย่างเช่น เราแปะป้ายที่จะเตือนพวกเราให้ปิดประตูห้องน้ำเบาๆ
และพรปล่อยวางมากขึ้น โดยกล่าวว่า
“ฉันตั้งใจจะปล่อยให้มันเป็นไป”
เธอได้ทบทวนแต่ละบทในชีวิตของเธอ
ระลึกถึงช่วงเวลาที่เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์
(ฉันเป็นอิสระเพียงใดในตอนนั้น)
และเพลิดเพลินกับความทรงจำทั้งหลายในวัยเด็ก
ความคิดกว้างๆ ของเธอก็คือ
ชีวิตช่างเข้มข้น มีหลากรสชาติ หลากสถานที่
ผู้คนที่น่ารักมากมาย ผู้คนที่น่ารักมาเยี่ยมเธอด้วย
และในขณะที่พลังของพรมีจำกัดอย่างยิ่ง
การมาเยี่ยมแต่ละครั้งมีความหมายอย่างยิ่ง
สร้างรอยยิ้ม และบางครั้งก็น้ำตา
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เธอก็หลุดเข้าสู่สมาธิ
และผู้ที่มาเยี่ยมก็สามารถเพลิดเพลินไปกับ
การทำสมาธิพร้อมกับเธอไปด้วยชั่วครู่
28/9
หลายวันที่ผ่านมาพรอ่อนแอลงไปมาก
ด้วยรู้สึกถึงความหนักของแขน ชาที่นิ้ว และหายใจกระชั้นขึ้น
เราใช้ออกซิเจนไปถึงห้าลิตรต่อนาที
ดังนั้นกระบอกหนึ่งที่ใช้ได้สามวันเมื่อครึ่งเดือนก่อน
ถูกใช้หมดในเพียงวันเดียว
คราวก่อนผมเขียนเรื่องความอึดอัดของพรว่า
เป็นโอกาสให้เธอปลดปล่อยความโกรธ
ผมดีใจจริงๆ ที่จะบอกว่ามันเกิดขึ้นจริง
ได้เกิดการพูดคุยที่ดี การขอโทษ
และในส่วนของพรก็คือการเปลี่ยนทัศนคติอย่างแท้จริง
เป็นการเปิดใจ เธอนุ่มนวลขึ้น
ดีมากที่ได้เห็นพวกเราก็เอาใจใส่มากขึ้น
และระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องที่เคยงุ่มง่าม
ผมพบความเอาใจใส่ในการปิดประตู
(เพื่อที่เสียงและการสั่นจะไม่กระทบกับพร) เป็นเรื่องที่ท้าทาย
แต่เดี๋ยวนี้เป็นความเพลิดเพลิน
ผมปิดประตูด้วยความเอาใจใส่ และด้วยความรักและเมตตา
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารักที่ได้ทำเราสามารถเห็นชัดถึงคุณค่าของการทำสมาธิ
โดยใช้ปัจจัยแห่งการตรัสรู้ เมื่อเวลาที่ระบบร่างกายพังทลาย
และเมื่อแต่ละวันนำมาซึ่งความไม่สบายและเจ็บปวด
พรทำสมาธิผ่านสิ่งเหล่านี้ด้วยการเอาใจใส่ในลมหายใจ
เธอนำเอาใจมาสู่เดี๋ยวนั้น มาสู่การดิ้นรนของร่างกายในขณะนั้น
เธอสังเกตการเอาตนเป็นจุดศูนย์กลาง (ยึดติดหรือต่อต้าน) ที่อยู่ที่นั่น
และทำงานร่วมไปด้วยกับการใช้ธรรมวิจัย
พรพบกับสิ่งเหล่านี้ด้วยการตระหนักรู้และปล่อยผ่านไป
พลังงานบังเกิด และมักมีความสงบนิ่งบนใบหน้า
ที่สะท้อนความเยือกเย็นภายใน (ผัสสติ)
ในช่วงเวลาที่สำคัญ เธอพบกับสภาวะด้วยอุเบกขา
ปล่อยไปอย่างตามสบายกับโรคร้าย เพียงพักผ่อนในการตระหนักรู้ถึงปัจจุบัน ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปโดยไม่กีดขวางมีบางเวลาเมื่อเธอโดยหาต่อการดำรงชีวิต และนำเธอไปทดลองวิธีการรักษาแบบใหม่ แต่เธอก็ไม่ได้ถูกหลอก เธอเข้าใจสภาพของตัวเองและงานเบื้องหน้าสำหรับผม ประสบการณ์ร่วมนี้เป็นสิ่งน่าพิศวงและเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งที่สุดที่ผมเคยมี พรกับผมเป็นกัลยาณมิตรกันมาหลายปี แต่ผมไม่เคยรู้ถึงสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์เท่าตอนนี้มาก่อนเลย ผมไม่สามารถแสดงความขอบคุณได้มากพอ
1/10
แขนของพรเคลื่อนไหวได้น้อยลง
เธอต้องให้ช่วยเมื่อเราพลิกตัวเธอ
ลมหายใจก็กระชั้นขึ้นด้วย เราใช้ออกซิเจนได้ถึงเจ็ดลิตรต่อนาที
เราจึงต้องมีออกซิเจนสี่กระบอกใหญ่เพื่อให้แน่ใจว่าเพียงพอ
เราย้ายมันจากหน้าต่าง เพื่อจะได้ให้พรยังมองเห็นสวนเล็กๆ ได้อีก
เช่นเดียวกับร่างกายที่ทรุดลง กระบวนการทางจิตใจสิ้นสุดลงและการต่ออายุก็เริ่มขึ้น
รูปแบบเดิมของการยึดติดเผยขึ้นในปัจจุบัน
หรือสถานการณ์ที่จำได้ ทำให้มีโอกาสที่จะฉลาดขึ้น ระลึกมากขึ้น
โดยเฉพาะให้โอกาสที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต
พรรู้สึกง่ายขึ้นในการทำสมาธิเป็นเวลานาน
เพราะเธอเอาใจใส่กับประสบการณ์ความทรงจำในวัยเด็ก
“ประหนึ่งฉันอยู่ที่นั่นอีกครั้ง”
“ฉันสามารถเห็นชัดถึงความโลภต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้
ฉันพยายามที่จะเพ่งไปที่ลมหายใจ
แต่รู้สึกอึดอัดมาก มักลืมตัวอยู่เสมอ
เป็นการดีกว่าที่จะเพียงเอาใจใส่กับปัจจุบัน
และปล่อยวางต่อความโลภ”
หลายคืนก่อนมีความฝันเกี่ยวกับโทสะและความกลัว
“ฉันฝันว่าเคยทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอพยาบาทและรอโอกาสที่จะทำร้ายฉัน
เธอว่าฉันจะมีปัญหาที่หน้าอกและหลัง”
ฉันตีความว่ามันเป็นความทรงจำจากชาติที่แล้ว
หรือจิตใจให้โอกาสที่จะตระหนักรู้ถึงโทสะ
(ความโกรธ – หนึ่งในสามรากร้ายแห่งการกระทำ)”
“โอกาสที่จะตระหนักถึงโทสะ
ฉันจะได้เอาใจใส่เพิ่มความรัก เมตตา สวดเมตตาสูตร”
และมีความฝันเกี่ยวกับการกลัวความตาย
ในฝัน พรทำงานกับเครื่องจักร ซึ่งเรารู้ว่ามีอันตราย
หลานของเธอมาหา และพรเป็นห่วงหลาน เลยถูกไฟดูดตาย
เมื่อรู้ตัวว่าจะตาย เธอก็เอาใจใส่กับกระบวนการตาย
“และเพียงแต่เฝ้ามอง ฉันไม่เป็นไร”
“เริ่มจาการกลัวความตาย นำไปสู่ความเอาใจใส่ และจบอย่างเป็นสุข”
เราทุกคนมีชั้นทับซ้อนกันของภาพตัวตน
ยึดติดตัวตน และป้องกันตัวตน
บางทีมีต้นกำเนิดจากการตัดสินตัวเอง
หรือการตอบโต้โดยไม่ได้คิดต่อสถานการณ์บางอย่าง
หรือเพียงเป็นรูปเพิ่มมากขึ้น
อุปมาดังคอมพิวเตอร์ ที่มีข้อผิดพลาดฝังอยู่ในโปรแกรม
แต่ละส่วนมีข้อมูลบิดเบือนและขั้นตอนคำสั่งงุ่มง่าม
ที่ทำงานเลอะเทอะโดยที่เราไม่รู้
ปกติเราไม่รู้ แต่บางทีเวลาทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง
ทั้งหมดก็ผุดขึ้นพรทบทวนชีวิตจากวัยเด็กขึ้นมา
ทั้งเข้มข้นและเร่งด่วน
ในขณะนี้ มีความจำเป็นต้องสรุปด้วยความจริง
เพื่ออย่างน้อยได้เรียนรู้บทแห่งความโง่เขลา
ถึงแม้เราไม่สามารถกลับไปทำใหม่ด้วยปัญญา
ราวกับจิตใจต้องการมองออกถึงความลมกลืน
ที่สามารถ หรือที่ควร หรือที่ได้รับ
และเรียนรู้จากความไม่กลมกลืนด้วยสถานะที่เป็นอยู่ตอนนี้
ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่ขยายออกมา คือ
การแบ่งปันสุดท้ายแห่งปัญญากับคนรุ่นต่อไป
หรือบางสิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง อันไม่อาจไปถึงเช่นนั้นหรือ
_____________________________________
เพ่งพินิจเรื่องชีวิตและความตาย
(Glimps After Glimps: Daily reflection on Living And Dying)
โซเกียล รินโปเช เขียน/พจนา จันทรสันติ แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๒ ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซ.ม.จำนวน ๔๐๘ หน้า ราคา ๒๕๐ บาท
เหนือห้วงมหรรณพ: คำสอนธิเบตเพื่อการอยู่และตายอย่างไร้ทุกข์
The Tibetan Book of Living and Dying
โซเกียล รินโปเช เขียน/พระไพศาล วิสาโล แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๒ ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซ.ม.จำนวน ๒๒๗ หน้า ราคา ๑๖๐ บาท
ประตูสู่สภาวะใหม่:
คำสอนธิเบตเพื่อเตรียมตัวตายและช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย
The Tibetan Book of Living and Dying
โซเกียล รินโปเช เขียน/พระไพศาล วิสาโล แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๓ ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซ.ม.จำนวน ๓๔๒ หน้า ราคา ๑๙๕ บาท
คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งธิเบต
The Tibetan Book of the Dead
เชอเกียม ตรุงปะ เขียน/อนุสรณ์ ติปยานนท์ แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๔ ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซ.ม.จำนวน ๑๓๙ หน้า ราคา ๑๒๕ บาท
ว่าด้วยชีวิตและความตาย
(On Living and Dying)
กรรณิการ์ พรมเสาร์ แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๒ ขนาด ๑๔.๕๒๑ ซ.ม.จำนวน ๑๖๘ หน้า ราคา ๑๒๐ บาท
ชีวิตและความตายในสังคมสมัยใหม่
พิมพ์ครั้งที่ ๑ ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซ.ม.จำนวน ๖๖ หน้า ราคา ๕๕ บาท
เบิกบานในชีวิตและตายอย่างสันติ
The Joy of Living and Dying in Peace
ทะไล ลามะ เขียน
ธารา รินศานต์ แปล
พิมพ์ครั้งที่ ๒ ขนาด ๑๔.๕ x ๒๑ ซ.ม.จำนวน ๑๙๙ หน้า ราคา ๑๖๕ บาท
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)